• 8 เทคโนโลยีเพื่อการเปลี่ยนสู่อนาคต “ระบบคลังสินค้าอัตโนมัติ”

    ปัจจัยต่างๆ เช่นค่านิยมของแนวคิดบริโภคนิยมและอีคอมเมิร์ซที่เพิ่มขึ้นในปัจจุบัน ส่งผลให้ตลาดคลังสินค้าทั่วโลกเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว และในขณะเดียวกันรูปแบบคลังสินค้าก็ถูกพัฒนาให้เป็นแบบอัตโนมัติมากขึ้นโดยมีจุดมุ่งหวังเพื่อประสิทธิภาพและผลผลิตที่เพิ่มสูงขึ้น

    คู่มือระบบคลังสินค้านี้จะพาไปเรียนรู้กับเทคโนโลยีบางอย่างที่มาเพื่อเปลี่ยนอนาคตของระบบอัตโนมัติสำหรับคลังสินค้า

    1.) ปัญญาประดิษฐ์และการเรียนรู้ของเครื่องจักร

    ปัญญาประดิษฐ์(Artificial Intelligence – AI) หมายถึงคอมพิวเตอร์ที่แสดงพฤติกรรมอันชาญฉลาดด้วยการใช้อัลกอริทึมสำหรับการเรียนรู้ที่หลากหลาย ความแตกต่างที่สำคัญระหว่างโปรแกรมคอมพิวเตอร์และ AI คืออย่างแรกนั้นทำงานด้วยการรับคำสั่ง แต่สำหรับ AI นั้นสามารถเรียนรู้ได้ด้วยตัวเอง

    คลังสินค้าต่างๆ สามารถนำ AI มาใช้เพื่อปรับปรุงประสิทธิภาพการปฏิบัติการ ลดค่าใช้จ่าย และเพิ่มความปลอดภัย เช่น การตั้งค่าเทคโนโลยี Deep Learning ให้หุ่นยนต์เพื่อจดจำวัตถุต่างๆ ในสภาพแวดล้อมของตนและปฏิบัติตามคำสั่งอย่างเป็นลำดับ

    เทคโนโลยี AI ช่วยให้บริษัทต่างๆ ขจัดข้อผิดพลาดของมนุษย์จากการหยิบหรือบรรจุของต่างๆ จากชั้นหรือสายพานลำเลียง ผลลัพธ์ที่ได้คือระดับความแม่นยำที่สูงขึ้นในขณะเดียวกันก็สามารถทำงานได้เร็วขึ้นกว่าเคย นอกจากนี้ดังที่กล่าวมา เครื่องจักรจะไม่ทำให้เกิดความผิดพลาดบ่อยครั้งเหมือนมนุษย์เนื่องจากไม่มีความรู้สึกเหน็ดเหนื่อยเมื่อทำงานไปนานๆ

    2.) โดรน

    โดรนกำลังกลายเป็นสิ่งที่นิยมใช้กันมากขึ้นในคลังสินค้า เนื่องจากเราสามารถใช้โดรนเพื่อการจัดการกับสินค้าคงคลัง การติดตามและการขนย้ายส่งสินค้า โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับการตรวจสอบคลังสินค้าขนาดใหญ่ที่มีหลายชั้นหรือหลายแผนก เพื่อให้มั่นใจว่าทุกอย่างเป็นไปตามกำหนด

    โดรนยังสามารถใช้ส่งพัสดุเมื่อจำเป็นได้อีกด้วย เพราะเหตุนี้จึงช่วยจัดการสินค้าคงคลังได้อย่างมีประสิทธิภาพด้วยความสามารถในการติดตามสินค้าแม้ว่าจะไม่ต้องออกไปในพื้นที่อันตรายด้วยตัวเอง

    โดรนสามารถทำได้มากกว่าการส่งพัสดุ อย่างเช่นการช่วยซ่อมบำรุงบนเครน จึงช่วยประหยัดเวลาและเงินค่าแรงที่ต้องจ่ายให้กับงานลักษณะเช่นนี้ได้

    3.) หุ่นยนต์

    หุ่นยนต์กำลังเป็นเทรนด์ที่เข้ามาเพื่อเปลี่ยนอนาคตของระบบคลังสินค้าอัตโนมัติ ซึ่งจากเดิมที่เคยใช้แทนที่เฉพาะงานที่ใช้แรงงานภายในคลังสินค้าให้เป็นแบบอัตโนมัติ เช่น การย้ายสินค้าจากที่หนึ่งไปอีกที่ นอกจากนี้เรายังใช้หุ่นยนต์เพื่อช่วยแบ่งเบาภาระงานของพนักงานในคลังสินค้าและในอุตสาหกรรมอื่นๆ อีกด้วย

    หุ่นยนต์คลังสินค้าสามารถช่วยพนักงานขนย้ายวัตถุขนาดใหญ่ไปรอบๆ ได้ด้วยการใช้กลไกต่างๆ อาทิเช่น ถ้วยดูดจับหรือแขนกลเพื่อหยิบกล่องหรือพาเลตไปทั่วบริเวณ และจะวางวัตถุนั้นลงในที่ที่กำหนดไว้ ดังนั้นพนักงานจึงสามารถเอาเวลาไปทำงานอื่นที่มีความซับซ้อนมากกว่าได้

    4.) Internet of Things (IoT)

    IoT หรือ Internet of Things ก็เป็นอีกเทคโนโลยีหนึ่งที่ไม่พูดถึงไม่ได้ เนื่องจาก IoT นั้นทำให้อุปกรณ์ต่างๆ สามารถเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตและสื่อสารกันได้ ยกตัวอย่างเช่น คุณสามารถเชื่อมต่อโทรศัพท์มือถือกับรถยนต์เพื่อปลดล็อครถได้

    โดยส่วนมากแล้วเราจะคุ้นเคยกับ IoT อยู่แล้วเพราะมีใช้ในชีวิตประจำวันอยู่ในอุปกรณ์ต่างๆรอบตัวเรา ตัวอย่างเช่น สมาร์ทวอชก็สามารถนำมาใช้เพื่อตรวจสอบสินค้าต่างๆ ในคลังได้ ด้วยเหตุนี้ IoT ทำให้คุณเข้าถึงระบบคลังสินค้าที่หลากหลายได้เพียงแค่มีโทรศัพท์มือถือ แล็ปท็อป หรืออุปกรณ์อื่นๆที่สามารถรองรับได้

    5.) เครื่องมือหยิบสินค้าอัตโนมัติ

    เครื่องมือหยิบสินค้าอัตโนมัติถูกนำมาใช้เพื่อการหยิบของจากคลังสินค้า อีกทั้งยังสามารถใช้ร่วมกับเทคโนโลยีต่างๆ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ หรือแม้แต่ใช้ในสถานการณ์ที่เทคโนโลยีอื่นๆนั้นไม่สามารถใช้การได้

    6.) ระบบจัดการคลังสินค้า

    ระบบจัดการคลังสินค้า(Warehouse Management Systems – WMS) เป็นอีกเทคโนโลยีที่กำลังเปลี่ยนแปลงอนาคตการจัดการคลังสินค้า โดย WMS จะเป็นโปรแกรมซอฟต์แวร์ที่ช่วยบริษัทจัดการในเรื่องของการทำงานคลังสินค้า

    ซอฟต์แวร์ WMS ใช้ในการวางแผนและกำหนดการหมุนเวียนของวัสดุและสินค้าภายในคลังสินค้า ซอฟต์แวร์นี้สามารถเข้ามาช่วยลดต้นทุน เพิ่มประสิทธิภาพ ในขณะเดียวกันก็สามารถอัพเดตข้อมูลระดับจำนวนสินค้าคงคลังได้ถูกต้องแบบเรียลไทม์ สร้างความพึงพอใจให้กับลูกค้าและผู้ใช้งานได้อย่างแน่นอน

    7.) Collaborative Robots [Cobots]

    Cobot เป็นหุ่นยนต์รุ่นใหม่ที่ถูกสร้างมาเพื่อทำงานเคียงข้างมนุษย์ได้อย่างปลอดภัย และยังได้รับการออกแบบมาเพื่อทำงานในสภาพแวดล้อมเดียวกับมนุษย์ เป็นสาเหตุให้บางครั้งอาจได้รับการขนานนามว่า “soft robotics” หรือ “หุ่นยนต์ร่วมปฏิบัติการ”

    Cobot ถูกออกแบบมาให้สามารถรับรู้ได้เมื่อมีวัตถุขวางทางอยู่ และจะหยุดก่อนที่จะสัมผัสโดน สิ่งนี้เองเป็นสิ่งที่มนุษย์ทำไม่ได้แต่กลับเป็นเรื่องง่ายดายสำหรับระบบประมวลผลคอมพิวเตอร์

    นั่นหมายความว่า Cobot ไม่จำเป็นต้องมีกรงนิรภัยรอบตัวเหมือนเครื่องจักรอุตสาหกรรมแบบดั้งเดิม ทำให้พนักงานสามารถทำงานใกล้ตัวได้โดยปราศจากความเสี่ยงต่อการบาดเจ็บหรือเสียชีวิต เมื่อมี Cobot รวมอยู่ด้วยแล้ว อนาคตระบบอัตโนมัติของคลังสินค้าก็ดูเหมือนว่าจะสามารถพัฒนาไปได้ไกลกว่านี้แน่นอน

    8.) Automatic Guided Vehicles [AGVs]

    AGV คือยานพาหนะเคลื่อนที่ขนส่งสินค้าอัตโนมัติรอบๆ คลังสินค้า ส่วนมากจะมีเซนเซอร์เพื่อป้องกันการชนและมักจะใช้อยู่ภายในคลังสินค้าขนาดใหญ่ AGV นั้นใช้ได้ดีกับการขนส่งสินค้าระหว่างชั้นต่างๆ และนี่ก็เป็นสาเหตุที่มักจะเห็น AGV อยู่ในศูนย์กระจายสินค้า

    นอกจากการเคลื่อนย้ายสินค้าจากจุดหนึ่งไปยังจุดอื่นๆ แล้ว AGV ยังสามารถตั้งค่าเส้นทางเฉพาะ ทำให้ระบบรับรู้ว่ารถไปถึงจุดหมายตอนไหน ซึ่งจะช่วยลดความผิดพลาดที่เกิดจากมนุษย์และทำให้กระบวนการโดยรวมทั้งหมดมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น

    –[ อนาคตที่สดใสภายภาคหน้า ]–

    อนาคตนั้นดูสดใสสำหรับระบบอัตโนมัติของคลังสินค้า และดูเหมือนจะแค่เพิ่งเริ่มต้นขึ้นเท่านั้น การใช้ AI, การเรียนรู้ของเครื่องจักร, โดรนและหุ่นยนต์จะสามารถมาช่วยเพิ่มประสิทธิภาพและผลผลิต ยิ่งไปกว่านั้น การนำวิทยาการเหล่านี้มาปรับใช้เพิ่มมากขึ้นยังจะช่วยให้เราสามารถทำงานในปริมาณที่มากขึ้นได้โดยปราศจากการควบคุมของมนุษย์

    สิ่งเหล่านี้อาจนำไปสู่การทำงานที่ได้ประสิทธิภาพมากขึ้น แต่แน่นอนว่าในอีกแง่หนึ่งก็เป็นการสร้างแรงกดดันให้กับผู้ว่าจ้างที่จะต้องอบรมพนักงาน เกี่ยวกับบทบาทใหม่ในโลกที่มีระบบอัตโนมัติเพิ่มขึ้นด้วยเช่นกัน